วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การแต่งกายไว้ทุกข์ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชนม์



แถลงการณ์สำนักพระราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต


         เมื่อเวลา 18.45 น. วันที่ 13 ตุลาคม สำนักพระราชวังออกประกาศว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี


สำนักพระราชวัง

13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559

        ทั้งนี้ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯจากวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เพื่อประทับรักษาพระอาการประชวร ต่อมาสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรอท (ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงในความดันพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ จากนั้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 12 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด คณะแพทย์ฯได้รายงานว่า พระอาการทั่วไปดีขึ้น และพระวรกายแข็งแรงเป็นลำดับ รวมเป็นระยะเวลาที่เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช

        และในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกจากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กลับมาประทับที่โรงพยาบาลศิริราช โดยมีแถลงการณ์ฉบับที่ 13 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ฯ เพื่อถวายตรวจพระสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามผลของการใส่สายระบายน้ำไขสันหลังจากช่องไขสันหลังเข้าสู่ช่องพระนาภี พระองค์ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช กระทั่งวันสวรรคต รวมระยะเวลา 502 วัน
แต่งกายไว้ทุกข์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ อย่างสุภาพเหมาะสม

        การ แต่งกายไว้ทุกข์ นั้นมีข้อควรทำและไม่ควรทำอยู่หลายประการ MoneyGuru.co.th จึงได้รวมรวมไว้เพื่อให้ประชาชนทั่วไป แต่งกายอย่างสุภาพเหมาะสม และถูกต้องตามกฎระเบียบ
สำหรับประชาชนทั่วไปให้ใช้สีดำล้วนเป็นการสุภาพที่สุด
การแต่งกายของพสกนิกรชาวไทยเพื่อแสดงความอาลัยต่อการสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ควรแต่งกายด้วยสีดำเป็นพื้นฐาน โดยใช้สีขาวหรือสีเทาสลับได้ ซึ่งสีดำล้วนถือว่าเป็นการแต่งกายที่สุภาพที่สุด
รูปแบบเครื่องแต่งกายต้องสุภาพ
เสื้อผ้าควรมีรูปแบบที่สุภาพ เป็นสีพื้นไม่มีลวดลาย โดยหลักควรเป็นสีดำ แต่สามารถใส่สีขาวหรือสีเทาสลับได้ ไม่ควรใส่เสื้อกล้าม เสื้อแขนกุด เสื้อสายเดี่ยว เกาะอก เสื้อเปิดไหล่ เสื้อคอกว้างเกินไป หากจำเป็นต้องสวมใส่เสื้อที่เปิดไหล่ สามารถสวมผ้าคลุมสีดำคลุมทับ หรือสวมเสื้อสูทหรือเสื้อคาร์ดิแกนสีดำทับได้เช่นกัน กางเกงไม่ควรเป็นกางเกงขาสั้น หรือกางเกงรัดรูป สำหรับสุภาพสตรี ไม่ควรใส่กระโปรงสั้น โดยกางเกงยีนส์สามารถสวมใส่ได้ แต่ต้องเป็นกางเกงยีนส์สีเข้ม ไม่ฟอกสี ไม่ขาด
เสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ถือเป็นการมิควร
สำหรับเสื้อดำที่มีตราสัญลักษณ์ประจำองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศนั้น ไม่ควรนำมาสวมใส่เพื่อแสดงความอาลัย ถือว่าเป็นการมิควรเนื่องจากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต และถือว่าเป็นการผิดกาลเทศะ
ข้าราชการกรณีมิได้เข้าร่วมพระราชพิธีพระบรมศพ

       ข้าราชการชาย การแต่งกายทั่วไปในการปฏิบัติราชการ ข้าราชการชายให้แต่งด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวหรือสีดำ ผูกเนกไทสีดำ หากจะสวมเสื้อสูทหรือเสื้อคลุมให้ใช้สีดำ โดยอาจใช้ผ้าสักหลาดหรือผ้าโปร่งสีดำพันแขนเสื้อเบื้องบนได้ตามสมควร

         ข้าราชการหญิง การแต่งกายทั่วไปในการปฏิบัติราชการ ข้าราชการหญิงให้แต่งกายสุภาพตามรัฐพิธี โดยให้ใช้เครื่องดำล้วน กรณีข้าราชการที่มีกฎหมายกำหนดไว้อย่างอื่นเป็นการเฉพาะ ก็ให้แต่งกายตามนั้น
การแต่งกายเข้าเฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพ หน้าพระบรมโกศ วันที่ 28 ตุลาคมนี้
      1. สุภาพสตรี ไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปมากจนเกินไป ควรเป็นเสื้อมีแขน คอไม่กว้าง โดยต้องเป็นเสื้อที่ไม่มีตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ ควรส่วมใส่กระโปรงคลุมเข่า ผ้าซิ่น หรือสวมชุดเดรสยาวคลุมเข่าก็ได้เช่นเดียวกัน รองเท้าควรเป็นรองเท้าหุ้มส้นแบบสุภาพ แนะนำว่าส่วมรองเท้าคัดชูจะเป็นการสุภาพที่สุด ส่วนสีของเสื้อผ้า ควรใช้สีดำเป็นหลัก โดยสามารถใส่สีขาวหรือเทาได้หากไม่สะดวกในการสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ และติดปลอกแขนสีดำ บริเวณแขนเสื้อด้านซ้ายเบื้องบนแทนก็ได้
      2. สุภาพบุรษ ไม่ควรสวมเสื้อกล้าม เสื้อแขนกุด ควรสวมเสื้อเชิร์ตแขนสั้นหรือยาว สีพื้นไม่มีลวดลาย กางเกงควรสวมสแลค ไม่ควรสวมกางเกงยีนส์หรือสกินนี่ยีนส์ สวมรองเท้าหุ้มส้นสีดำ ไม่มีลวดลาย ไม่ควรสวมใส่รองเท้าผ้าใบ
      3. ข้าราชการ แต่งเครื่องแบบตามหมายรับสั่งหรือหมายกำหนดการของพระราชวัง โดยให้ใช้ผ้าสักหลาดหรือผ้าโปร่งสีดำ ขนาดกว้าง 7 ถึง 10 เซนติเมตร พันแขนซ้ายเบื้องบน
      4. ไม่ควรสวมใส่หมวก แว่นตาดำ เมื่อเข้าสู่บบริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

วันเด็กแห่งชาติ ( children's day )




            พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้คำขวัญวันเด็กแห่งชาติหวังจะพัฒนาเด็ก ๆ ให้เป็นกำลังสำคัญของชาติ เมื่อผ่านพ้นเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปีใหม่ ก็ถึงคิวของวันมหัศจรรย์ของเด็ก ๆ นั่นคือ "วันเด็กแห่งชาติ" ที่ถูกกำหนดให้ตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี และวันเด็ก 2560 ตรงกับวันเสาร์ ที่ 14 มกราคม และ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เผย คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2560 ดังนี้ "เด็กไทย ใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง" สำหรับประวัติวันเด็กแห่งชาติ คำขวัญวันเด็ก ปีต่าง ๆ มีความสำคัญอย่างไร วันนี้เรามีเรื่องราวและข้อมูลมาฝาก

ประวัติวันเด็กแห่งชาติ

            วันเด็กแห่งชาติ มีต้นกำเนิดมาจากการที่องค์การสหประชาชาติทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็ก ๆ โดยในปี พ.ศ. 2498 นายวี เอ็ม กุล ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ ได้เป็นผู้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญ และความต้องการของเด็ก รวมถึงเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ

            ทั้งนี้ การขานรับกับการจัดงานวันเด็กแห่งชาติได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง ในปีเดียวกันนั้นเองทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศ จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของตนขึ้น โดยได้มีการกำหนดว่าจะถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ

             สำหรับประเทศไทย ได้ตอบรับข้อเสนอของนายวี เอ็ม กุลกานี ซึ่งบอกผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่า ไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติ รัฐบาลจึงได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข


              อย่างไรก็ตาม งานวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 จากนั้นเป็นต้นมา ราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยจัดต่อเนื่องกันมาจนถึงปี 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่ ด้วยเหตุผลว่า เดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทย เป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็ก ๆ ไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงาน นอกจากนี้วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้

               ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 ว่า ควรจะเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ที่มีความเหมาะสมและสะดวกมากกว่า ตามที่คณะกรรมการจัดงานวัดเด็กแห่งชาติเสนอมา ส่งผลให้ในปี 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว งานวันเด็กแห่งชาติจึงเริ่มจัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2508 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน

วัตถุประสงค์การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ


               สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่รัฐบาลไทยกำหนดไว้ คือ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กและและเยาวชนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตนและอยู่ในระเบียบวินัยอันดี และเพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของเด็ก

               นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ทุก ๆ ปี ในวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานพระบรมราโชวาท สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงโปรดประทานพระคติธรรม และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจะมอบคำขวัญวันเด็ก แสดงให้เห็นว่าเด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดของชาติ เราจึงได้ยินคำพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า "เด็กคืออนาคตของชาติ เด็กฉลาด ชาติเจริญ"

กิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ

                กิจกรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติในวันเด็กแห่งชาติ ล้วนมีจุดประสงค์ไปในทางเดียวกัน คือ เพื่อให้เด็กได้ตระหนักถึงคุณค่าบทบาท และความสำคัญของตนเอง โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น ในโรงเรียน หมู่บ้าน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจัดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกถิ่นจะมีขนมมากมาย มีคำเชื้อเชิญเพราะ ๆ มีคำอวยพรให้เด็กๆ เป็นวันที่เด็ก ๆ มีสิทธิพิเศษ ถนนทุกสาย เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ หรือร่วมกันทำกิจกรรม ในแต่ละชุมชนเพื่อเด็กๆ จัดบรรยากาศเพื่อเด็ก ๆ เพลงเด็ก ๆ ของขวัญเพื่อเด็ก ๆ ฯลฯ